
ยากนักที่จะหาคนที่ไม่รู้จักดูโอ้สาวคู่ฮ๊อตคู่นี้ 'โฟร์-มด' เพราะสองสาวคู่นี้ไม่ใช่เพิ่งดัง แต่พวกเธอกวาดหัวใจนักฟังเพลงป๊อปมากว่า ๔ แล้ว
ตั้งแต่ซิงเกิ้ลแรก 'หายใจเป็นเธอ' จากอัลบั้มแรกในชีวิต Four-Mod ที่มีท่อนฮุคติดปากแฟนเพลงทุกผู้ทุกวัย ไม่เว้นแม้กระทั่งวัยหัดพูด "หายใจเข้าก็เฮ้อ...เธอ หายใจออกก็เฮ้อ...เธอ"
มาถึงอัลบั้มที่ ๒ Love Love ก็มีเพลงฮิตให้ติดหูติดปากอีก เป็นเพลงชื่อเดียวกับอัลบั้ม ตามมาอัลบั้มที่ ๓ Wooo! รับรองว่าแม้ไม่ได้ตั้งใจก็ต้องเคยได้ยินเพลง "เด็กมีปัญหาหาหาหาหา..."
ถึงอัลบั้มที่ ๔ Four-Mod in Wonderland ฮิตที่สุดก็คือเพลง 'ละลาย' เรียกว่าดูโอ้สาวคู่นี้ออกอัลบั้มไหนดังเปรี้ยงปร้างทุกชุด
ไม่เพียงเนื้อเพลงจะฟังสนุก ติดหูเร็ว ร้องตามง่ายเท่านั้น ท่าเต้น และเสื้อผ้าการแต่งตัวก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่เรียกร้องความสนใจได้เป็นอย่างดี
ทั้งบุคลิกของคนร้อง ทำนองเพลง และลุคผสมกลมเกลียวกันอย่างลงตัวเหมือนลูกกวาดสีสวย หอมอร่อย จนทำให้ชื่อ โฟร์-มด เป็นสัญลักษณ์ของความสดใส รื่นเริง สนุกสนาน
เปล่าค่ะ สองสาวนี้ไม่ได้เป็นพี่น้องญาติสนิท หรือแม้กระทั่งเพื่อนกันมาก่อน เธอไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ แต่เป็นความบังเอิญที่นำให้มาเจอกัน ทั้งๆ ที่คนหนึ่งไม่เคยคิดว่าจะเอาดีทางร้องเพลงได้ ส่วนอีกคนใฝ่ฝันเป็นนักร้องมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่มีพรสวรรค์ทางด้านร้องเพลงเลย ... แม้แต่นิดเดียว

เริ่มที่โฟร์ หรือชื่อจริงว่า ศกลรัตน์ วรอุไร ลูกคนสุดท้องลำดับที่ ๔ ของบ้าน (ซึ่งคือที่มาของชื่อ) พี่ทั้งสามชื่อ วัน ทู ทรี ตามลำดับ เรียกว่าคุณแม่เล่นใช้วิธีตั้งชื่อง่ายๆ อย่างนี้แหละ
โฟร์จับพลัดจับผลูเข้าวงการมาได้เพราะแมวมอง คุณแม่ผ่องศรีที่ตามติดเทคแคร์ลูกเล่าให้ฟังว่า "แมวมองเอาเบอร์มาให้ แต่โฟร์กลัวโดนหลอก เขาก็ฉลาดให้เบอร์แม่ไปแทน แม่ก็ลองโทรฯไปคุย แล้วแอบไปดูด้วยนะว่ามีจริงไหม ทำหนังสือจริงไหม ทำโมเดลลิ่งจริงไหม พอเขาโทรฯ มานัดอีกก็พาน้องไปถ่ายรูป ก็ยังไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้นนะ พอเขาโทรฯ มาอีกที แม่เข้าใจว่าอุ๊ย ได้งานแล้ว ดีใจกันทั้งบ้านเลย เปล่า เขาเรียกไปแคสติ้ง (หัวเราะ) คือที่บ้านเราตั้งแต่บรรพบุรุษมาไม่เคยมีใครอยู่วงการนี้ ค้าขายกันอย่างเดียว ก็เลยยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไหร่
พอแคสติ้งเสร็จปุ๊บ เขาก็โทรฯ มาอีก ก็ดีใจอีกคิดว่าได้งานแล้ว เปล่า แค่เข้ารอบ ยังไม่ได้งานซะที เพิ่งจะเข้ารอบ เหรอ มีอย่างนี้ด้วยเหรอ เอาๆๆ แต่พอไปแคสต์รอบสองก็ไม่ได้
ทีนี้ต่อจากนี้ก็เดินสายแคสติ้งตลอด ใครเรียกให้ไปก็ไป วันธรรมดาตอนเย็นเรียนเสร็จก็ไปแคสติ้งต่อ ไปประมาณยี่สิบชิ้นไม่เคยได้สักชิ้นนึง ไม่เคยได้เลย จนโฟร์บอกว่าไม่เอาแล้วแม่
แม่บอกว่าเอางี้ เดี๋ยวรออีกสองชิ้น ถ้าไม่ได้ก็เลิกละ แม่ก็เหนื่อย ลูกก็เหนื่อย ปรากฏว่าได้ ทีนี้พอได้ก็ได้ติดต่อกันสามสิบกว่างานเลย ภาพนิ่งมั่ง หนังโฆษณามั่ง งานแรกเป็นภาพนิ่งชาลิปตัน ถ่ายภาพนิ่งเยอะจนได้ฉายาในหมู่วงการว่า เจ้าแม่ภาพนิ่ง เพราะไม่เคยได้งานหนังเลย ได้งานหนังครั้งแรกรู้สึกว่าจะเป็น วันทูคอล โฟร์สวยมากเลยแต่ไม่ดัง มาดังตัวจีเอสเอ็มพันแปดที่ว่า วางก่อนดิๆ น่ะค่ะ ดังระเบิด ตูมตาม งานเข้าเต็มเลย"
เป็นการแจ้งเกิดครั้งแรกในวงการโฆษณา งานเริ่มมาก คุณแม่ก็เลยต้องทำหน้าที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวไปโดยปริยาย ดูแลกันตั้งแต่ควักออกมาจากที่นอนตอนเช้าเลยทีเดียว
"ปีสองปีแรกแม่จะต้องเรียกให้ตื่นทุกเช้า โฟร์ก็จะบอกว่า ไม่เอา... โฟร์ไม่ทำแล้ว...ไม่ไหว (หัวเราะ) เพราะบางทีนอนตีหนึ่งตีสอง อย่างเร็วก็เที่ยงคืน ตีห้าหกโมงต้องตื่นแล้ว โฟร์บอกว่าแม่ให้คนอื่นไปทำเหอะ หนูไม่ทำแล้ว (หัวเราะ)"
ระหว่างนี้เองที่ทางบริษัทอาร์เอส ได้ติดต่อเข้ามาทาบทามให้ร้องเพลง แต่โฟร์ก็ยังปฏิเสธ "คือตอนนี้เริ่มชอบโฆษณาแล้วไง จะถ่ายแต่โฆษณาอย่างเดียว แม่ก็เลยต้องบอกว่าจะถ่ายแต่โษณาอย่างเดียวได้ยังไง ถ้าไม่ชอบร้องเพลงก็น่าจะเล่นละคร นี่ละครก็ไม่เอา เพลงก็ไม่เอา จะถ่ายแต่โฆษณาอย่างเดียว (หัวเราะ)
ตอนหลังมีช่องสามติดต่อให้เล่นละคร โฟร์ร้องไห้อีก ไม่เอา แม่เล่นเองสิ อ้าว ก็เขาไม่เอาฉันนี่ ถ้าเขาเอาฉัน ฉันจะเล่นเอง โฟร์แม่รับปากเขาไว้แล้วนะ แม่รับปากเขาแม่ก็ไปเองสิ จนแม่บอกว่าเอาอย่างนี้ละกัน เราไปคุยกับผู้กำกับก่อน ถ้าเราเล่นไม่ได้เขาก็ไม่เอาเราอยู่ดีนั่นแหละ คือละครนี้เป็นละครเด็กๆ มีวันเสาร์ อาทิตย์ แม่เคยดูอยู่แล้ว ก็เห็นว่าถ้าโฟร์เล่นภาพพจน์จะดี
คุยกันจนเที่ยงคืน ร้องห่มร้องไห้ แม่บอกเอาล่ะ นอนไปก่อน แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าค่อยคุยกันใหม่ เขาก็คงนอนคิดทั้งคืนเหมือนกันน่ะนะ พอเช้าขึ้นมาแม่บอกเขาว่า โฟร์ไม่ทำก็ได้แม่ไม่ว่าอะไร แต่ให้ไปเจอเขาหน่อย เดี๋ยวแม่จะเสียผู้ใหญ่ ไปเจอเขาแล้วโฟร์ก็บอกกับเขาเลยว่าโฟร์ไม่ทำ เขาก็บอกว่า แม่ ไป
ไปถึงผู้กำกับก็คุย เล่าให้ฟังว่าตัวละครเป็นยังไงๆ แล้วเขาก็บอกว่า ก็ลองดู น่าจะเล่นได้นะ ... ก็เล่นได้"
นับว่าคุณแม่เป็นคนมองการณ์ไกล วางเส้นทางในวงการบันเทิงอย่างต่อเนื่องให้ลูก โดยให้ข้อคิดง่ายๆ สั้นๆ ว่า "ไม่มีใครจ้างเธอเล่นโฆษณาไปตลอดชีวิตหรอก" พร้อมเสนอทางเลือกให้ว่า ถ้าไม่ร้องเพลงก็น่าจะเล่นละคร แต่เหตุผลของโฟร์ที่อยากจะทำแต่งานโฆษณาอย่างเดียวก็เพราะว่าเป็นงานที่ไม่ยาก และไม่เหนื่อยมาก
จากการเล่นละครในครั้งนั้น ทำให้บริษัทอาร์เอสติดต่อเข้ามาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เสนอให้โฟร์เล่นละคร เมื่อผ่านงานละครมาแล้ว โฟร์เริ่มรู้สึกมั่นใจว่าตัวเองก็มีความสามารถอย่างอื่นนอกจากโพสท่าสวยสำหรับงานโฆษณาเฉยๆ ถึงแม้การเริ่มงานกับอาร์เอสต้องมีเซ็นสัญญา แต่ก็ยังสามารถรับงานอื่นได้ โฟร์ก็เลยตอบตกลงอย่างไม่ลังเล
แถมได้กำไรชีวิตมาอีกด้วยซ้ำ เพราะทางบริษัทได้ส่งเธอไปฝึกการแสดงอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่จุดที่ทำให้เธอก้าวมาเป็นนักร้อง เพราะบริษัทไอดี เรคคอร์ดส์ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของอาร์เอส ได้มาเห็นโฟร์ ชอบใจหน่วยก้าน จึงชวนให้มาทำเพลง แต่เจ้าตัวบอกว่าไม่เอา ร้องไม่ได้
"เพราะโฟร์ไม่เคยเรียนร้องเพลง และไม่เคยร้องเพลงที่ไหนมาก่อนค่ะ แต่ทางผู้ใหญ่บอกว่า ร้องๆ ไปเถอะ เพราะไม่อยากได้นักร้องเก่ง (คนฟังหัวเราะกันครืน) ไม่อยากได้นักร้องประกวด อยากได้แบบเพื่อนร้องเพลงให้เพื่อนฟัง ประมาณนี้ค่ะ"
และได้ส่งไปให้ครู กานต์ จั่นทอง (คุ้นหน้าคุ้นตาจากบ้าน AF) พินิจพิจารณา ปรากฏครูกานต์บอกโฟร์ว่า เสียงโฟร์ไม่ได้ใหญ่อย่างที่ตัวเองคิด หางเสียงออกจะแหลม และมีความเซ็กซี่อยู่ในน้ำเสียงด้วยซ้ำ น่าจะร้องได้ ให้ลองเรียนดู
"เขาก็ไปฝึก ฝึกเสร็จไปร้องให้เฮียฮ้อฟัง เฮียฮ้อบอกว่า ยังใช้ไม่ได้ ไปฝึกใหม่ (หัวเราะ)" คุณแม่เล่าขำๆ
"คือโฟร์ตอนเด็กๆ ก็ไม่เคยคิดจะร้องเพลงอะไร กิจกรรมในโรงเรียนก็ทำเพราะครูขอร้อง ปีนึงทำสองสามครั้ง ทำทุกอย่างที่ครูให้ทำ เป็นเชียร์ลีดเดอร์ก็ทำนะ ทำทุกอย่าง อยากทำอะไรให้ทำหมดเลย แต่โฟร์เขาทำไปโดยที่เขาไม่รู้ว่ารักหรือไม่รัก ทำไปอย่างนั้นเอง
แต่ถ้าคิดทบทวนไปถึงตอนเด็กๆ เขาจะเป็นเด็กขี้เล่นนะ และมีอะไรแปลกมาให้ประหลาดใจ เช่นอยู่ๆ ก็ร้องเพลงลูกทุ่ง หมอลำ แม่ฟัง...เออก็เพราะดีนะ ถามว่าไปรู้จักได้ยังไง เขาก็บอกว่าไม่รู้หรอก ได้ยินใครๆ ร้องกันก็ร้องบ้าง เขาเป็นเด็กรื่นเริง"
หลังจากเซ็นสัญญากับอาร์เอสแล้ว ปรากฏว่าต้นสังกัดไม่ได้ป้อนงานให้เป็นชิ้นเป็นอัน จนทำให้คุณแม่รู้สึกสับสนและไม่เข้าใจ จนร่ำๆ จะเลิกสัญญากลางคัน
"เอาโฟร์มาเซ็นสัญญาแล้วไม่ให้ทำอะไรเลย เพราะค่าตัวบางงานก็ถูกเกินไป บางทีก็ให้ไปเป็นตัวรอง แต่เฮีย (ฮ้อ) กับทีมงานเขาดี แต่เขาไม่พูดให้แม่ฟัง ว่าอะไรเป็นอะไร แม่ก็เข้าใจว่าเอาโฟร์มาดอง คือพอเราตัดสินใจเซ็นสัญญาอาร์เอสปุ๊บ วันรุ่งขึ้นค่ายนู้นค่ายนี้เข้ามากันใหญ่เลย ช้าไปนาทีเดียวก็มี แล้วทำไมพอเซ็นสัญญาแล้ว อาร์เอสเอาน้องไปเก็บไว้ตั้งนาน ไม่ให้ทำอะไรเลย ก็โกรธ ไปขอยกเลิกสัญญา แต่เลิกไม่ได้ เขาบอกว่าแม่ใจเย็นๆ แม่ก็ไม่เข้าใจ
มารู้ทีหลังว่าที่เขาทำอย่างนั้นเพราะจะเก็บโฟร์ไว้เป็นนางเอก ตอนหลังให้เป็นนางเอกละครตั้งสองเรื่องสามเรื่อง มีเพลงให้ร้อง มีทั้งพิธีกร มีอะไรดีๆ ให้น้องโฟร์ตลอด แม่ต้องกลับไปขอโทษ และขอบคุณเขา"
อีกทั้งยังทำให้โฟร์เป็นที่รู้จักมากขึ้น จากการเล่นมิวสิควีดีโอเพลง 'รักคนมีเจ้าของ' ของวงไอน้ำ
แล้วเมื่อไหร่กันที่จะได้เป็น 'โฟร์-มด' เสียที เรื่องของเรื่องเกิดจากความบังเอิญโดยแท้ ที่ได้เจออีกสาวหนึ่ง มด หรือ คุณัชญา ชัยรัตน์ สาวน้อยที่มีความใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าจะต้องเป็นนักร้องให้ได้ ทั้งๆ ที่ร้องเพลงไม่เป็นเลย
แต่ต้องบอกว่ามดเป็นเด็กที่มีใจทางด้านร้องรำมาตั้งแต่เด็ก ดูจากการที่คุณแม่พาตระเวนเรียนทุกอย่างเพื่อให้เธอค้นพบด้วยตัวเองว่าชอบ ทางไหน ตั้งแต่รำไทย บัลเล่ต์ แจ๊ส ฮิพฮอพ จนสุดท้ายก็มาจบที่การร้องเพลง
"ไปเรียนร้องเพลงกับครูกานต์ รู้จักครูกานต์มาตั้งแต่ยังไม่เข้าบ้านเอเอฟด้วยซ้ำ ตอนนั้นมดประมาณ ๑๑ หรือ ๑๒ ขวบ" คุณแม่ที่ยังสาวและเปรี้ยวจี๊ดของมดเริ่มรำลึกความหลังให้ฟัง "ครูกานต์บอกว่า 'เออ...หน้าตาดีนี่ แต่โอ้โห...ร้องเพลงเพี้ยนมาก' (หัวเราะ)"
คุณลูกขอเล่าบ้าง "คือมดไม่เคยเรียนร้องเพลงมาก่อน เป็นการร้องเพลงครั้งแรกจริงๆ พอร้องเสร็จครูกานต์บอกว่า ไม่ต้องเรียนแล้วล่ะ ร้องเพี้ยนมาก คือครูกานต์จะเป็นสไตล์อย่างนี้ค่ะ จิกเพื่อให้ฮึดสู้
พอโดนว่าปั๊บ หนูไปเรียนร้องเพลงทุกวันเลย เลิกเรียนปุ๊บไปหาครูกานต์เลย"
ไม่รู้ว่าจะเป็นแผนการของครูกานต์หรือเปล่า แต่ก็ทำให้สาวน้อยคนนี้ลุกขึ้นมาสู้ และพิสูจน์ให้เห็นว่าเธอเอาจริง มดเข้าคลาสฝึกร้องเพลงอยู่เกือบปี ระหว่างนั้นโฟร์ก็เรียนกับครูกานต์เหมือนกัน แต่คนละวัน ทำให้ไม่เคยเจอกัน
แต่ดวงชะตาและไอดี เรคคอร์ดส์ ลิขิตมาแล้วว่าจะต้องเป็นคู่กัน วันหนึ่งโฟร์มาเข้าคลาสเวลาปรกติไม่ทัน ต้องย้ายมาเรียนคลาสเดียวกับมด แล้วหน่วยก้านมดก็ไปเตะตาโปรดิวเซอร์ที่ตามโฟร์มา
"พี่โปรดิวเซอร์มาขอเบอร์โทรศัพท์ หนูก็นึกถึงข่าวว่าชอบมีพวกแมวมองมาหลอกเด็ก (หัวเราะ) ก็เลยให้เบอร์แม่ไป แม่ก็ไม่รู้เรื่องหรอก" มดเล่าด้วยน้ำเสียงแจ่มแจ๋ว แต่นี่คือวิธีฉลาดๆ ที่ช่วยให้ไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ สมควรที่สาวๆ จะนำไปปฏิบัติตาม
คุณแม่สานต่อว่า "ทางไอดี เรคคอร์ดส์โทรฯมาหาแล้วบอกว่าอยากให้ไปคุยด้วย เพราะกำลังจะทำเพลงนักร้องหญิงสองคน แม่ก็งงๆ แต่ก็ไปคุย เห็นหน้าเห็นตาก็รู้แล้วล่ะว่าไม่ใช่พวกหลอกลวงแน่ (หัวเราะ) แม่ก็เลยตอบไปว่าถ้าน้องเขาอยากทำด้วยแม่ก็โอ.เค."
พอได้ไฟเขียวจากคุณแม่ สาวมดก็เริงร่าทีเดียว ฝันหวานว่าถ้าได้เป็นนักร้องแล้วจะมีสตางค์จะซื้อสิ่งที่อยากได้ "ความรู้สึกแรกที่รู้ว่าจะทำเพลงก็คือ โอ๊ย...ได้เป็นนักร้องแล้วน้า...เดี๋ยวจะซื้อบ้านให้แม่ จะซื้อหลังใหญ่ๆ เลยนะ จะได้อยู่กันสบายๆ"
พูดไปยิ้มไป ทำตาฝันหวาน จนคุณแม่แทรกขึ้นมาว่า "อยากได้บ้านกว้างๆ เพราะจะเลี้ยงหมาน่ะสิ"
ตอบตกลงจะไปเป็นนักร้องให้เขาแล้วแต่ตัวเองยังไม่รู้เลยว่าแนวเพลงจะเป็นอย่างไร "พี่เขาบอกว่าเป็นแบบสบายๆ ร้องให้เพื่อนฟัง ไม่โอเว่อร์ เป็น ideal แต่จะออกเป็นแนวน่ารักๆ ใสๆ ยิ้ม เต้นตามได้ แต่หนูก็ยังนึกไม่ออกว่าจะเป็นแนวไหน ก็ต้องมีการเรียนร้องเพลงเพิ่มเติม สุดท้ายจะต้องทดสอบศักยภาพด้วยว่าพร้อมจะเป็นศิลปินหรือยัง
วันที่ทดสอบจะมีโปรดิวเซอร์ทุกคนมานั่งดูหมดเลย เต็มเลยค่ะ ถ่ายวีดีโอไว้ด้วย มดกับพี่โฟร์ก็อุตส่าห์ซ้อมกันมาอย่างดีเลยนะ เป็นเดื๊อนเป็นเดือน พอเอาเข้าจริง เดี๋ยวเหยียบเท้ากัน เดี๋ยวร้องเพี้ยนมั่ง เดี๋ยวลืมเนื้อมั่ง (หัวเราะ)"
"เฮียไม่เอา" คุณแม่ว่า
"เฮียบอก ไม่ทำ กลัวไปเลย (หัวเราะ) แต่ไอดี เรคคอร์ดส์ เขาอยากให้เราออกอัลบั้มจริงๆ ค่ะ" มดพูดเหมือนกับว่าถ้าเป็นคนอื่นก็คงจะถอดใจกับเธอสองคนไปนานแล้ว แต่ทางบริษัทก็คงมั่นใจว่าสองสาวนี้ไปได้ดีแน่ๆ มีการติดตามพูดคุยกับทั้งสองสาวตลอดเวลา เพื่อที่จะค้นหาตัวตนของทั้งคู่ แล้วนำเอาแคแร็คเตอร์นั้นมาแต่งเพลง
ซึ่งก่อนจะถึงการทดสอบ 'ศักยภาพ' ครั้งสุดท้ายของโฟร์-มด ไอดี เรคคอร์ดส์ ก็เตรียมเพลงไว้ให้พวกเธอแล้วถึง ๑๐ เพลง เมื่อทุกอย่างผ่าน การทำงานในฐานะวงดูโอ้ โฟร์-มด ก็เริ่มขึ้น
มดเล่าความรู้สึกตอนเข้าห้องอัดครั้งแรกให้ฟังว่า "มันฟังดูง่ายม้ากกก พอเข้าห้องอัดพี่โปรดิวเซอร์ก็บอกว่า เอ้า ร้องเพลงซิ เราก็ร้องไปสองสามรอบ แล้วก็เริ่มอัด พี่เขาบอก ร้องมา ท่อนแรก พอร้องท่อนแรกพี่เขาบอก เอามาประโยคเดียวพอ พอร้องประโยคเดียวพี่เขาบอก เอ้า ร้องประโยคเดียวไปยี่สิบครั้ง โหพี่... เอางี้จริงเหรอ ยี่สิบครั้ง (ทำหน้างงสุดขีด) เออ...เดี๋ยวพี่จะตัดเป็นคำๆ แล้วมิกซ์เสียงโน่นนี่นั่น เออน่ะ ร้องๆ ไป เพลงแรกปาเข้าไปสิบชั่วโมงสองคน"
มดยอมรับว่าแรกๆ ก็ไม่เข้าใจ แต่เพิ่งจะมาซึ้งตอนหลังว่าทีมงานได้ทุ่มเททำงานอย่างละเอียดจริงๆ เพื่อให้ผลงานออกมาดี และตอบสนองคนฟังได้มากที่สุด

ผ่านขั้นตอนสำคัญที่สุดไปแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนที่สำคัญไม่แพ้กัน เรื่องเครื่องแต่งตัว ซึ่งต้องให้เหมาะเจาะกับกลุ่มเป้าหมาย คือเด็กวัยรุ่น วัยเรียน วัยสดใส แม้โฟร์จะเพิ่งเป็นศิลปินกับเขาครั้งแรก แต่เธอก็มีข้อแม้ประจำตัว เกี่ยวกับการแต่งตัวอยู่พอสมควร
"โฟร์บอกเขาเลยว่า ไม่ใส่ส้นสูง ไม่ใส่กระโปรงสั้น คือไม่ชอบใส่กระโปรง เพราะเดินไม่ถนัด ไม่เป็นตัวของตัวเอง พี่เขาก็ยอมค่ะ บางทีพี่เขาจะบอกว่า ไม่ต้องกลัวหรอก โฟร์ใส่อะไรก็ไม่โป๊ (หยุดทำหน้างุนงงว่าเป็นคำชมหรืออะไรกันแน่) ใส่เกาะอกก็ไม่โป๊ ใส่ขาสั้นแค่ไหนก็ไม่น่าเกลียด เพราะขาเล็ก"
อัลบั้มแรก Four-Mod ออกมาครั้งแรกก็ดังเปรี้ยงปร้างถล่มทลาย ความดังถาโถมเข้ามาหาสองสาวอย่างไม่ได้เตรียมอกเตรียมใจรับมือ
มดสารภาพว่า "คาดไม่ถึงเลยว่าฟีดแบ็คดีกว่าที่เราคิดเยอะ ทุกคนร้องเพลงของเราได้ ทุกคนบอกโฟร์มดเหรอ เฮ้อ...หายใจเป็นเธอ มันทำให้เรารู้สึกว่าเฮ้ย เราจะดังขนาดนี้เลยเหรอ เดินไปไหนใครก็มอง แต่ก่อนนี้ไม่เคยมีใครสนใจเราเลย แต่นี่เดินไปไหนมีคนขอถ่ายรูป ขอลายเซ็น อยู่ดีๆ ชีวิตเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ"
คุณแม่โฟร์ก็บอกว่า "พอญาติๆ และเพื่อนๆ แม่รู้ว่าลูกเราเป็นศิลปิน เป็นดารา เขาจะคิดว่าเป็นน้องวัน (ลูกสาวคนโต) ไม่มีใครคิดว่าจะเป็นโฟร์หรอก (หัวเราะ)
ชีวิตเปลี่ยนไหม? ชีวิตแม่ไม่เปลี่ยน แต่ชีวิตโฟร์เปลี่ยนตรงที่ว่าไม่ค่อยมีเวลาเป็นของตัวเอง เดินไปไหนมาไหนก็มีคนมารุม บางทีก็ร้องเพลงดังๆ ของโฟร์มด แต่ก่อนไปไหนโฟร์เขาจะใส่รองเท้าแตะ เสื้อยืด กางเกงขาสั้น ปีสองปีแรกห้ามเขาไม่ได้นะ เขาก็ยังใส่ของเขาอย่างนั้น ไม่รู้ล่ะหนูจะทำอย่างนี้แหละ แม่ต้องบอกว่าบางทีเขาเห็นเราในงานแสดง เขาเห็นเราสวยเพราะแต่งหน้า แต่งตา แล้วถ้าเขามาเห็นสภาพสบายๆ ของลูกอย่างนี้เขาอาจจะคิดว่า อุ๊ยตายแล้ว ทำไมโทรมจัง"
ส่วนโฟร์ก็บอกว่าสิ่งที่เปลี่ยนไปก็แค่เวลาไปไหนมีคนจำเธอได้ และการจะทำอะไรก็ต้องคิดหน้าคิดหลัง และระวังตัวมากขึ้นเท่านั้น ทั้งสองคนดูจะเข้าใจและยอมรับว่าสำหรับชื่อเสียงที่ได้มา พวกเธอก็ต้องเสียสละบางอย่างไปเช่นเดียวกัน เห็นชัดๆ ก็คือความเป็นส่วนตัว และยังต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมบางอย่างของตัวเอง
คุณแม่ของมดเริ่มต้นว่า "แม่บอกเขาตั้งแต่เริ่มทำเพลงว่า แม่ไม่ว่า แต่ถ้าทำแล้วต้องทำให้ดี ต้องตั้งใจ ทีแรกแม่คิดว่าจะทำอัลบั้มเดียวแล้วเลิก (หัวเราะ) แม่ตั้งเป้าแค่นี้แหละ ให้ลูกไปทำให้หายอยาก ไม่ได้คิดอะไรจริงจัง และเกรงใจคนที่เขาทุ่มเททำงานให้น้องด้วย บอกมดตั้งใจทำนะลูกนะ แล้วก็ต้องระวังนะลูก ทำเล่นๆ ไม่ได้นะลูก"
"การทำงานอย่างนี้สอนอะไรให้มดเยอะมาก เช่นเรื่องความรับผิดชอบ เรื่องตรงต่อเวลา ยอมรับเลยค่ะว่าตกใจกับชื่อเสียงที่จู่โจมเข้ามา มันยากมากเรื่องการวางตัว บางคนก็คิดดีกับเรา บางคนก็ในแง่ negative แล้วเราไปบังคับให้เขาคิด positive กับเราไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็อยู่ที่ตัวเราแล้วว่าจะทำตัวยังไง นั่นคือเรื่องที่กังวลเรื่องแรก
เรื่องที่สองคือเรื่องเรียน เพราะแม่บอกว่า อนาคตเธอคือการเรียนนะ หนูก็เลยกังวลใจมากเลย จะจบไหม พอกลับไปเรียนจริงๆ นี่รู้สึกเหวอมาก ทุกคนเรียนกันไปไกลมาก คือบางทีเราต้องแลกอะไรบางอย่าง ไม่รู้สึกเสียใจค่ะ เหมือนกับเราเสียอย่างได้อย่าง การที่เราไม่ได้มีสังคมตรงนั้น ไม่ได้มีชีวิตในโรงเรียน แต่เราก็ยังมีเพื่อนอยู่ ประสบการณ์อย่างที่มดมีอยู่นี้มันไม่ได้เกิดขึ้นกับคนทุกคน มันยากมาก เป็นโอกาสที่ไม่คว้าไว้มันก็ผ่านไป แล้วกว่าจะมีโอกาสอย่างนี้อีกก็คงนานมาก หรืออาจจะไม่มีโอกาสเลยก็ได้ เพราะฉะนั้น คว้าไว้ก่อนดีกว่า
อยู่วงการนี้มันอยู่ที่ตัวเราด้วยค่ะ ไม่ว่าคนอื่นจะดูแลอย่างไร แต่ก็อยู่ที่ตัวเราด้วย ถ้าเราทำตัวดีก็ดี ถ้าเราทำตัวไม่ดีก็ไม่ดี"
ทางด้านโฟร์ก็เห็นพ้องว่านี่คือโอกาสที่ควรจะคว้าไว้ แต่เรื่องเรียนก็ยังเป็นความสำคัญที่เธอไม่เคยมองข้าม "ก็อยากเรียนให้จบค่ะ แต่ที่บ้านไม่ได้บังคับว่าจะต้องจบตอนอายุ ๒๒ หรืออะไรอย่างนี้ แต่ตอนนี้งานเยอะ ก็ค่อยๆ ลงเรียนทีละนิด"
เส้นทางของโฟร์-มด โลดแล่นมาอย่างไม่มีอุปสรรค เป็นนักร้องดังที่มีคนนิยมมากมาย ต่างฝ่ายต่างก็มีแฟนคลับของตัวเอง และมีจำนวนไม่น้อยเบาะๆ ก็หลักหมื่น และเป็นกลุ่มแฟนคลับที่คอยรัก คอยดูแล และบางทีก็เป็นหูเป็นตาให้คุณแม่ทั้งสองด้วย เรียกว่าไม่ว่าทั้งสองสาวจะขยับไปไหน แฟนคลับรู้หมด
แน่นอนว่าการทำงานด้วยกันต้องมีกระทบกระทั่งกันบ้าง ข่าวร้ายแรงที่สุดที่ทั้งคู่เคยมีก็คือเรื่องทะเลาะกันจนเกือบจะแยกวง แต่สองคนก็ผ่านจุดนั้นมาได้ แต่ข่าวร้ายแรงนั้นก็คงเทียบไม่ได้กับข่าวคลิปที่มีคนแอบถ่ายทั้งสองสาวในขณะทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำของโรงแรมในจังหวัดขอนแก่นระหว่างเดินสายเล่นคอนเสิร์ต
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ แม้ทั้งคู่จะบอกว่าลืมไปแล้ว แต่ก็ยังคงมีความผิดหวังและเสียใจอยู่ในน้ำเสียง "เป็นเหตุการณ์ที่แย่ที่สุดที่เคยเจอมา" โฟร์ว่า สำหรับคุณแม่ก็แย่พอกัน "แม่ไม่ได้ดู แต่ฟังจากแฟนคลับพูดให้ฟัง ก็เครียดนะ เครียดทั้งที่ยังไม่เห็นภาพ แรกๆ ที่ข่าวออกมานี่เครียด เส้นเลือดในตาแตก แต่ตอนนี้ดีขึ้น แม่ต้องหลบไปอยู่ที่อื่นเลย แล้วให้พ่อเขาเป็นคนรับส่งน้องโฟร์เอง เพราะนักข่าวไม่ค่อยรู้จักพ่อ ก็ไม่ค่อยเข้ามาถาม"
แล้วมดล่ะ
"ดีขึ้นเยอะค่ะ เพราะได้กำลังใจจากทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพี่ๆ ที่อาร์เอส เพื่อนที่โรงเรียน ครอบครัว แฟนคลับ และพี่ๆ นักข่าวทุกคน ซึ่งมดต้องขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย ถ้าไม่มีทุกคนที่คอยให้กำลังใจ มดยังไม่รู้เลยว่าจะเป็นยังไง ทุกวันนี้ที่อยู่ได้เพราะกำลังใจจากทุกคน
ก็ตกใจนะคะ แต่เรียนรู้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เราต้องดูแลตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เทคแคร์ตัวเองดีๆ อย่างหนึ่งที่สอนมดก็คือไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องปล่อยให้มันเกิด เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วเราไม่สามารถที่จะย้อนเวลากลับไปเปลี่ยนแปลงอะไร
ถึงมันจะไม่ทำให้เรากลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย แต่มดรู้สึกว่ามันก็คือสังคม สังคมมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ตอนนี้ปล่อยวางดีกว่า คิดเรื่องอื่นดีกว่า มดคิดว่าชีวิตเราเหมือนกราฟนะคะ มันมีขึ้นมีลง เรื่องนั้นมันเป็นอดีตไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป leave it in the part, don't think about it"
คุณแม่ปลอบลูกยังไงบ้าง แม้อึ้งไปสักครู่แล้วบอกว่า "แม่ไม่ได้ปลอบ ลูกปลอบแม่มากกว่า (หัวเราะ)"
มดรีบแย่งพูดขึ้นมาว่า "เข้าใจความรู้สึกแม่ค่ะ ว่าต้องเสียใจมากกว่าเราแน่ๆ"
แม่ "เขาเลยพยายามไม่ร้องไห้"
มด "เพราะรู้ว่าถ้าร้องปุ๊บแม่ร้องแน่ ก็เลยพยายาม เก็บเอาไว้"
ความเป็นลูกคนเดียวของครอบครัว ทำให้เธอยิ่งต้องถนอมจิตใจแม่มากขึ้นไปอีก ส่วนโฟร์ก็ขอย้ำทิ้งท้ายไว้ว่า "อย่ามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น"

แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมกับพวกเธอเลย ที่อยู่ๆ ก็ตกเป็นเหยื่อของความคึกคะนองของคนสิ้นคิดเพียงไม่กี่คน แต่ในระหว่างนี้ที่ทั้งสองสาวพยายามลืมเรื่องเลวร้ายไว้ข้างหลัง พวกเธอก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานให้ความสุขกับคนอื่นต่อไป อัลบั้มใหม่ Go! Go! ก็ไปได้สวย และมดก็กำลังจะมีภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตออกฉาย ในชื่อว่า ซูเปอร์ แหบ แสบ สะบัด
ไม่ว่าเส้นทางในอนาคตจะพาสองสาวไปยังจุดไหน แต่ที่แน่ๆ 'โฟร์-มด' ยังคงมีความร่าเริง สดใส นำเสนอให้แฟนเพลงไปอีกนาน
ภาพแฟชั่นในฉบับ คลิ๊ก!!
